แพรรี่ ไพรวัลย์ เปิดใจครั้งแรก หลังประกาศลาวงการ

แพรรี่ ไพรวัลย์ เปิดใจครั้งแรก หลังประกาศลาวงการ ฟาดกลับชาวเน็ตแซะ ไม่เลิก ออกไม่เท่ากับตาย!

เปิดใจครั้งแรก สำหรับ แพรรี่ ไพรวัลย์ หลังประกาศลาวงการบันเทิง ไม่รู้ว่าเบื้องหลังมีปัญหากับใครหรือเปล่า ชาวเน็ตแห่คอมเมนต์สนั่นบางคนบอกว่าเป็นแค่คอนเทนต์เรียกกระแส ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องวัน 31 ที่มี หนิง ปณิตา และ ชมพู่ ก่อนบ่าย เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

อยู่ดีๆ โพสต์ประกาศอำลาวงการ?

แพรรี่ : ก็ตั้งใจเขียนให้เป็นเรื่องเป็นราวนั้นแหละ บอกตั้งแต่เนิ่นๆ ให้คนที่ติดตามเราได้รู้ เพราะถ้าอยู่ดีๆ เราหายไปจากรายการที่ทำ แล้วคนจะสงสัยมาถามกันทีละคน หนูว่าเราเขียนเองเลยดีกว่า แล้วให้แฟนคลับที่เขาติดตามเราได้รู้ว่าตอนนี้เราเตรียมจะมูฟแล้วนะ ถ้าไม่ได้เห็นเราในบทบาทพิธีกรที่เราทำอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

งานในทุกด้านทำได้ดี แล้วจะมูฟเพื่ออะไร?

แพรรี่ : เราทำงานมาช่วงหนึ่งเหมือนมันครบกำหนดระยะเวลาที่เราเคยวางแพลนไว้กับตัวเองแล้ว 1 ปี หนูรู้สึกว่า 1 ปีสำหรับหนูมันเยอะสุดแล้ว หนูมองว่าการที่เราได้ทำงานนี้อยู่มันไม่ใช่งานที่เราตั้งใจทำตั้งแต่แรก แต่มีผู้ใหญ่หลายๆ ท่านอาจจะเห็นศักยภาพในตัวหนู แล้วให้โอกาสหนูได้ทำงาน แล้วหนูก็ไม่คิดว่ามันจะลากยาวมาได้ขนาดนี้

เห็นว่าตอนแรกตั้งใจว่า 3 เดือน?

แพรรี่ : ประมาณนั้น ตอนแรกที่มาอยู่ในกรุงเทพ

แพรรี่ไม่อยากไปต่อเหรอ ที่เขาบอกว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก?

แพรรี่ : หนูคิดว่าหนูพอแล้ว น้ำหนูเยอะแล้ว

มันมีประโยคนึงในโพสต์ที่ว่า มีดาวเรืองก็ต้องมีดาวโรย ถึงเวลาที่ต้องเก็บของกลับบ้านนาที่จากมาได้แล้ว?

แพรรี่ : หนูเป็นคนชอบฟังเพลงแม่พุ่มพวง แล้วรู้สึกว่าเพลงนี้มันสอนใจคนเราดี คือคนเราไม่ต้องรอให้ตัวเองเป็นดาวโรยหรอก ถ้าวันนึงเราคิดว่ามันถึงโอกาส ถึงจังหวะ เราสู้โรยด้วยตัวเราเองดีกว่า ก่อนที่มันจะมีอะไรมาทำให้เราโรย หนูเลยสมัครเป็นดาวโรยก่อนเลย ก่อนที่จะมีคนมาทำให้หนูโรย

ไม่ใช่คิดว่าเรามองว่าเป็นขาลง แต่เรามองก็ไม่ใช่?

แพรรี่ : กับงานที่ทำ ถ้าหนูยังอยู่ หนูทำได้เรื่อยๆ เลยแล้วผู้ใหญ่ท่านก็ยังเมตตาให้หนูทำ คืออันนั้นหนูสอนตัวเองว่าชีวิตคนเรามีขึ้นก็มีลง เราไม่ได้ยึดติดกับแสง สี อะไรขนาดนั้น พอใจเถอะมาถึงขนาดนี้แล้ว

ก่อนหน้านี้ที่แพรรี่บอกว่าที่สึกมา ไม่ได้สึกมามีชีวิตแค่นี้ อันนี้คืออะไร?

แพรรี่ : ตอนที่หนูสึกใหม่ๆ หนูให้สัมภาษณ์ว่าหนูไม่ได้ตั้งใจมาทำงานในวงการ เพราะหนูอยากกลับบ้านไปอยู่กับแม่ ไปทำธุรกิจอะไรของหนูที่เป็นช่องทางรายได้ แต่พอมันจังหวะที่เราแต่งหญิงแล้วงานมันก็เข้ามาเรื่อยๆ เราก็คิดว่าก็ไม่เสียหาย ถ้าเราจะเก็บหอมรอมริบก่อนในโอกาสนั้น

หรือจริงๆ แล้วแอบน้อยใจคนในวงการบันเทิง หรือคนที่ทำงานด้วยหรือเปล่า เลยรู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ของเรา?

แพรรี่ : ไม่มีนะคะ อย่างรายการที่ทำมันก็เป็นไลฟ์สไตล์หนูเลย ผู้ใหญ่ก็เปิดโอกาสให้เต็มที่เลยนะ ไม่เคยบอกว่าทำรายการต้องเป็นแบบนี้นะ เธอต้องเปลี่ยนบุคลิก นู้นนี่นั่น เพราะว่ารายการที่หนูทำเป็นรายการวาไรตี้ เป็นพิธีกรสัมภาษณ์ เขาให้เราเป็นตัวเองได้เต็มที่เลย

หรือว่ามีจุดที่อิ่มตัวในวงการบันเทิงในบางอย่างที่เราทำทุกวัน?

แพรรี่ : อันนี้ก็ใช่ส่วนหนึ่ง หนูตื่นมาแต่งหน้าเช้าทุกวัน แต่งหน้าเสร็จกลับห้อง คลีนหน้าก็ใช้เวลาเยอะมาก เพราะเราไม่ได้แต่งหน้า เราโบก เราโบกหน้าทุกวัน ใส่วิกทุกวัน เสื้อผ้าเปลี่ยนทุกวัน บางทีมันก็รู้สึกหนักสำหรับตัวเอง มันเป็นการวนลูปซ้ำๆ หนูใช้ชีวิต 10 กว่าปีอยู่ใน กทม. อยู่ในวัด อยู่ในกุฏิแคบๆ พอหนูสึกมาหนูตั้งใจจะกลับบ้านโล่งๆ บรรยากาศแบบเราได้กลับไปอยู่บ้านเรา แต่พอเราตัดสินใจมาทำงานในวงการ เราก็ต้องมาอยู่ในคอนโดแคบๆ อีก เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่คำตอบสำหรับชีวิตเราที่เราจะเป็นแบบนี้

มันเหนื่อนจริงเหรอที่ต้องตื่นมาแต่งตัว เพราะเราก็ชอบสวยๆ งามๆ ?

แพรรี่ : มันทุกวัน บางทีมันก็รู้สึกอิ่ม แต่ไม่ใช่ว่าเบื่อตัวเองนะแต่ว่ามันอิ่มเฉยๆ จุดความพอใจของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน และความสุขที่แต่ละคนอยากมอบให้กับตัวเองไม่เหมือนกัน ถ้าคนที่อยู่ในจุดนี้แล้วรู้สึกว่านี่คือไลฟ์สไตล์นี่คือความสุขกับการทำงานเขา หนูว่าไม่มีผิด ไม่มีถูกเลย

ป้าตือเป็นผู้ใหญ่ท่านนึงที่ให้ความรักความเมตตาแพรรี่ถึงขั้นโทรมาเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ลึกๆ ไม่กล้าพูดกับใครไหม?

แพรรี่ : ใช่ค่ะ แม่ตือก็เป็นห่วง วันนั้นโทรมาถามว่าเบื้อหลังมีอะไรหรือเปล่าลูก ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า หรือว่าตัดสินใจเองจริงๆ หนูก็เล่าให้แม่ฟังตามที่หนูเขียนไปเลยว่ามันไม่ได้มีอะไรอยู่เบื้องหลังจริงๆ ทุกอย่างเกิดจากที่เราวางแผนเรียบร้อยแล้ว แล้วตัดสินใจแล้ว แม่ก็ให้กำลังใจ แม่เชื่อแกว่าอะไรที่แกตัดสินใจทำมันมีเหตุผล

มันเป็นปมในใจหรือเปล่าวันที่โดนกระชากผม ตั้งแต่วันนั้นทุกอย่างมันดูเฟลล์ไปหมดเลย?

แพรรี่ : ไม่เกี่ยวเลย การกระทำแบบนั้นไม่สามารถทำให้หนูรู้สึกเฟลล์ได้ ไม่มีทางเลย เรื่องการปลูกผมหนูพูดตั้งแต่แรกๆ แล้วที่จะทำ แต่ยังไม่มีโอกาสจะทำเฉยๆ 

ตอนนี้ที่บอกว่าจะเฟดไปก็จะไปทำอยู่?

แพรรี่ : ทำด้วย ก็ต้องดูแลตัวเองด้วย เรื่องการปลูกผมทำทีนึงตั้ง 8 เดือน หรือบางที 1 ปี แล้วเราก็ต้องหยุดงานเลย แต่ถ้าเรายังรับงานอยู่มันไม่สามารถทำได้ ต้องใส่วิกอย่างนี้ตลอดไปเลย

1 ปีตามครบกำหนดคุณแพรรี่คือเมื่อไหร่?

แพรรี่ : ตอนนี้ยังเหลืออีก 1 รายการที่ทำอยู่ ที่หนูต้องไปคุยกับผู้ใหญ่ในช่อง ถ้าผู้ใหญ่เขาเข้าใจหนูโอเคถ้าแพรรี่ตัดสินใจแล้ว เราก็ไม่ห้าม ไม่อะไร หนูก็จะหมดงานที่ทำประจำแล้ว ทีนี้หนูก็จะพร้อมมูฟกลับไปทันที ก็เร็วๆ นี้ค่ะ

ในส่วนของมิสเปรียญยังทำอยู่ไหม?

แพรรี่ : หยุดติทั้งหมดเลย หนูทำงานกับผู้ใหญ่หลายช่องอยู่

ที่บอกว่าจะไปปลูกผม เรื่องคนข้างกายมีส่วนไหม?

แพรรี่ : เขาไม่ได้ต้องการเห็นหนูในเวอร์ชั่นผมจริง หรือเปลี่ยนตัวเอง ผ่านู้นนี่ไปเลย เขาไม่ได้อะไรเลย เขาเคารพสิ่งที่หนูเลือก มันเหมือนเรามีอะไรอยากทำ แล้วเราไม่ได้ทำสักที มันก็ติดค้างอยู่อย่างนั้น

สมมติว่าใกล้ครบ 1 ปีที่เราตั้งใจไว้ แล้วมันมีงานใหญ่เข้ามา เราจะทำต่อไหม?

แพรรี่ : ไม่ได้ค่ะ เพราะว่าหนูพูดไปแล้ว ถ้าหนูลังเล พูดอย่างแล้วทำอย่างคนจะว่าหนูได้ว่าเป็นคนปากไม่ตรงกับใจหรือคอนเทนต์

ปัญหาหลักๆ เลยและเป็นสิ่งที่ตั้งใจตั้งแต่แรกเลยคือเรื่องของคุณแม่?

แพรรี่ : ทุกวันนี้เราทำงานก็จริงนะ เรามีเงินส่งเสียเลี้ยงดูแม่ แต่หนูว่าโรคที่แม่หนูเป็นอยู่ไม่ใช่เอาเงินไปให้แล้วเขารู้สึกดีอย่างเดียว ครอบครัวหนูมีแค่ 3 คน พ่อก็มีหน้าที่ต้องไปทำเรื่องของเขา เหมือนตอนหนูไม่ได้กลับบ้านแท่เขาก็อยู่คนเดียว บางเวลาแม่ต้องการคนที่จะซัพพอร์ตเขา ให้กำลังใจเขา แล้วอยู่กับเขาจริงๆ เพราะเขาเคยไปพูดกับป้าว่าเขารู้สึกดี เขามีกำลังใจมากขึ้นเวลาลูกเขากลับบ้าน แต่เขาก็เข้าใจว่ากลับมาบ้าน เดี๋ยวก็ต้องกลับไปทำงานเพราะเราต้องหาเงินมาดูแลครอบครัว แม่ไม่เคยพูดกับเราตรงๆ เขาไปพูดกับพี่สาวเขา คุณแม่ตอนนี้อายุ 50 กว่า อยู่ต่างจังหวัดก็อยู่กับพ่อ แล้วก็มีคนดูแลที่เป็นญาติกัน เพราะพอแม่เป็นมะเร็ง แม่ไม่สามารถทำอะไรหนักๆ ได้ กับข้าวกับปลาอย่างนี้ทำไม่ได้

ความกังวลของคุณแม่ตอนนี้อยู่ในสเต็ปไหน?

แพรรี่ : โรคมะเร็งมันก็หนักหนาอยู่ อย่างแม่หนูตอนนี้ก็ให้ยาตัวแรง เราไม่รู้อนาคตเลยว่าแม่จะอยู่กับเราได้นานแค่ไหน ไม่ใช่ว่าแม่หนูหายขาดแล้ว หรือดีขึ้น ถ้าแม่หนูหายขาดแล้ว อยู่บ้านแบบสบายใจ ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะโรคทางกาย บางทีหนูอาจจะไม่ได้คิดเรื่องกลับไปก็ได้

คุณแม่ทราบไหมว่าเราเตรียมตัวจะออกจากวงการ?

แพรรี่ : น่าจะทราบแล้วค่ะ เดี๋ยวหนูกลับบ้านคงจะถามว่าคิดดีแล้วเหรอ

แพลนที่กลับไป เมื่อกี้บอกว่าจะไปเปิดคาเฟ่?

แพรรี่ : คนจะคิดว่าหนูไม่ทำงาน กลับไปอยู่บ้านแล้วคงจะหายไปเลย จริงๆ ไม่ใช่นะคะ หนูก็ยังมีช่องทาง มีโซเชียล ช่องทางการติดตามทั้ง ติ๊กต๊อก ไอจี เฟซบุ๊ก หนูก็ใช้ช่องทางนี้แหละในการทำมาหากิน ทุกคนยังได้เจอหนูทุกวันในโซเชียล ก็ยังทำงานอยู่ไม่ใช่กลับไปแล้วไม่ทำงาน หนูจะอยู่ได้ยังไง เพียงแค่ไม่ได้ทำงานประจำกับรายการช่องเท่านั้นเอง

กระแสชาวเน็ตบอกว่า ออกเท่ากับสร้างกระแส?

แพรรี่ : หนูว่าเป็นเรื่องปกตินะ คนเรามีคนชอบและไม่ชอบเรา มันเป็นเรื่องปกติเลย คนที่เขาไม่ชอบ เขาก็มีสิทธิ์ด่าหนูได้ แต่เขาด่าหนู สิ่งที่หนูทำจะเป็นจริงอย่างที่เขาด่าหรือเปล่า มันก็ต้องดู ถ้าสรุปแล้วหนูออกมาพูดแล้วหนูไม่ออก หนูก็ยอมให้เขาด่า แต่ถ้าหนูพูดจริง ทำจริง คำด่ามันก็ไม่เข้าหนู มันเข้าเขา เหมือนเขานั่งส่องกระจกนั่งด่าตัวเอง

เวลาอ่านพวกอย่างนี้รู้สึกโกรธหรือจิตตกบ้างไหม?

แพรรี่ : ไม่มีจิตตกเพียงแต่ว่าถ้าบางอันเป็นเพจที่มีคนตามเยอะ อาจไปชี้นำให้คนมาด้อยค่าเราหรือเข้าใจเราผิด เราก็ต้องออกมาชี้แจงอย่างที่มีเพจนึงว่าหนู หนูก็ออกมาบอกว่าออกก็ออกจริง ไม่มีเท่ากับ ไม่ทีอะไร แล้วอธิบายให้เขารู้ว่าเหตุผลที่เราออกเพราะอะไร

แล้วถ้าวันนึงทุกคนอยากรู้ชีวิต แล้วเชิญมาสัมภาษณ์แบบนี้ออกไหม?

แพรรี่ : ยินดีนะคะ แล้วอันนึงที่หนูไม่ทิ้งก็คือ ถ้ามันมีประเด็นทางสังคมหรือทางศาสนา หนูออกมาแล้วหนูก็ยังจะขับเคลื่อนเรื่องนี้ พูดเรื่องนี้ในฐานะที่หนูเป็นคนที่เคยอยู่ในศาสนามาก่อน ถ้ามีประเด็นเรื่องศาสนา คนต้องการความคิดเห็นของหนู หรือรายการทีวีเชิญ หนูก็ยินดีออกมาพูด

ที่ออกคือออกจากงานประจำที่ทำ หนัง ละคร คือไม่?

แพรรี่ : เท่านั้นค่ะ แต่ถ้ามีประเด็นอะไรที่เราสามารถมาให้ความคิดเห็นกับคนในสังคมได้และเป็นประโยชน์หนูก็มา

หลังจากตุลาคมที่จะออกจากวงการ คือมีแพลนในหัว อยากทำคาเฟ่?

แพรรี่ : ใช่ อันนี้มันเป็นสิ่งที่เราเคยคิดไว้ ทำอะไรก็ได้ที่เราอยู่บ้านแล้วเราทำงานด้วย แล้วได้ดูแลครอบครัวไปด้วย อันนี้คือสิ่งที่หนูคิดไว้จริงๆ ชีวิตหนูพอแล้ว มีงานทำแล้วเราได้อยู่บ้าน ดูแลพ่อแม่

ออกจากการเป็นดารา ศิลปิน มาเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์?

แพรรี่ : ก็น่าจะได้

คำว่าออกของเขาคือไม่ได้อยู่หน้าจอประจำ แต่ยังอยู่ในโซเชียล แต่เดี๋ยวพอคนเห็นเขาอยู่ในโซเชียล คนก็ไปด่าเขาอีก เดี๋ยวคนเข้าใจว่าไหนบอกว่าออกไง?

แพรรี่ : ออกไม่เท่ากับตายนะคะ ถ้าวันไหนตายนั่นคือยุติหมดเลย ถ้าตายอันนั้นมั่นใจเลยว่าจะไม่เห็นดิฉันแน่นอน

แต่ก็จะมีบางกลุ่มที่ไม่ได้ดูที่เราสัมภาษณ์ เขาก็จะมาอีก เตรียมรับมือยังไง?

แพรรี่ : หนูมาออกรายการนี้เป็นที่แรกเลย แล้วหนูก็เคลียร์ชัด พูดชัดว่าออกของหนูคือความหมายว่ายังไง อะไรบ้าง คนมาฟังก็ฟังที่หนูพูดให้เคลียร์เถอะค่ะ ชัดเจน จะได้เข้าใจ

ตอนนี้คาเฟ่เป็นยังไงบ้าง?

แพรรี่ : ถ้าหนูออกไปหนูก็มีแพลนจะทำเป็นสเต็ปๆ ไป แต่ก่อนที่คาเฟ่จะเกิดอาจจะเห็นหนูในบทบาทแม่ค้าขายของออนไลน์ที่หนูเคยทำ อย่าง น้ำพริก พอหนูมาอยู่ตรงนี้แล้วไม่ดูแลเต็มที่การขายของตรงนั้นมันก็เบาลง เพราะมันไม่มีใครดูแล เพราะขายของออนไลน์คนเป็นเจ้าของต้องขายเอง คือคาเฟ่หนูอยู่ที่จันทบุรี มีที่ดิน มีรูปแบบเรียบร้อยแล้ว

สรุปออกจริงหรือคอนเทนต์

แพรรี่ : มันคอนเทนต์ไม่ได้นะคะ หนูคิดว่าชีวิตไม่ใช่ของเล่น เราตัดสินใจทำอะไรแล้ว ยิ่งคนรู้คนติดตามอย่างหนูโพสต์ไปในเพจ 3 ล้านกว่า ถ้าหนูโะสต์เล่นๆ จะเกิดอะไรกับหนู แล้วหนูไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาเอาคอนเทนตฺแบบนี้ หนูไปทำคอนเทนต์แบบอื่นไม่ดีกว่าเหรอ

ใช้คำว่าผันตัวไปเป็นอินฟลูดีกว่า?

แพรรี่ : ใช่ค่ะ แค่ไม่ได้ทำงานประจำเฉยๆ 

อยากบอกอะไรชาวเน็ตทิ้งท้าย?

แพรรี่ : หนูว่าแซะไปงั้นแหละ แซะยังไงก็ไม่ขึ้นหรอก เพราะหนูไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องโกหก แล้วอะไรที่พูดหนูคิดดีแล้ว ส่วนแฟนคลับขอบคุณที่ซัพพอร์ต ยังได้เจอหนูในบทบาทอื่นๆ และสามารถซับพอร์ตหนูในบทบาทอื่นๆ ที่หนูทำ

ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama